บทความของเรา

23
MAY
9 จุดสำคัญที่คนมักมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้าน
หลายคนเลือกตรวจรับบ้านเองเพื่อประหยับงบประมาณในการใช้บริการตรวจบ้าน แน่นอนว่าก่อนจะเริ่มเข้าตรวจรับเราจำเป็นต้องศึกษาขั้นตอนและจุดต่างๆ ที่ต้องเช็คให้ถี่ถ้วน   แต่ในระหว่างขั้นตอนการตรวจบ้าน หลายคนมักจะมองข้ามจุดสำคัญๆ เล็กๆ น้อยไป ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดปัญหาภายหลังจากเซ็นรับโอน ทั้งต้องเสียเงินซ่อมแซมเอง แถมยังเสียเวลาหาช่างที่ไว้ใจได้อีกด้วย เราลองไปสำรวจ 10 จุดสำคัญที่ถูกมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้านกันดีกว่า จะได้ไม่พลาดเซ็นรับโอนและต้องมานั่งกลุ้มใจกันทีหลัง     1. รอยรั่วซึม รอยน้ำรั่วซึมเป็นปัญหาหลักๆ ที่คนมักจะเจอหลังตรวจรับบ้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรอยรั่วบนหลังคา ห้องน้ำ หรืออย่างร้ายแรงที่สุดคือท่อเดินน้ำหลักในบ้าน ซึ่งถ้าหากไม่ตรวจเช็คให้ดีอาจเกิดคราบสนิม รา และยังทำให้วัสดุเปื่อยยุ่ยจากน้ำซึมได้ เป็นไปได้ควรเข้าตรวจรับบ้านในช่วงหน้าฝน หรือถ้าหากหมดหน้าฝนแล้วจริงๆ ก็ขอโครงการขึ้นไปเช็คบนฝ้าเพื่อหารอยน้ำซึมได้เลย   2. การเดินไฟ ระบบไฟฟ้าภายในบ้านเป็นส่วนที่สำคัญมาก หากติดตั้งระบบไฟที่ไม่เหมาะกับลักษณะบ้านก็อาจทำให้เกิดปัญหาในการใช้งานได้ และบางโครงการที่สร้างมานานอาจจะยังใช้การเดินไฟแบบเก่าซึ่งต้องมีการอัปเกรดใหม่เพื่อให้เหมาะกับผู้ใช้งานในปัจจุบัน ดังนั้นการเช็คระบบไฟและสายไฟในบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง   3. หลังคาชำรุด หลังคาชำรุดเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่างๆ ภายในบ้าน ส่งผลเสียทั้งในด้านโครงสร้างและการตกแต่ง นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมหลังคามีราคาค่อนข้างสูง หากมาพบปัญหาหลังคาชำรุดในภายหลัง ไม่ว่าจะจากแผ่นกระเบื้องปูไม่ดีพอ มีรอยซึม หรือแม้แต่รอยเว้าแหว่งเพียงเล็กน้อย รับรองว่าซ่อมไม่คุ้มแน่   4. ข้อบกพร่องเล็กๆ คนมักมองข้ามข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้าน เช่น รอยด่างของสีผนัง รอยแหว่งของเฟอร์นิเจอร์ (โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน) หรือแม้แต่คราบสกปรกเล็กๆ ที่มากับตัวบ้าน เพื่อความสบายใจและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงภายหลัง เราควรเช็คข้อบกพร่องเหล่านี้ก่อนตรวจรับบ้านจะดีกว่า   5. ปัญหาจากโครงสร้าง รอยผนังแตก ประตูตก หน้าต่างปิดไม่สนิท หรือซิลิโคนรอบหน้าต่างหลุดร่อนก็นับเป็นปัญหาเรื่องโครงสร้างที่มักพบหลังตรวจรับบ้าน ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้มูลค่าของตัวบ้านลดลงเมื่อจำเป็นต้องขายทิ้ง   6. ปัญหาจากท่อน้ำ ปัญหาจากท่อน้ำนี่แหละที่ทำให้บิลค่าน้ำของเราพุ่งกระฉูด หากไม่ตรวจเช็คให้ดีแล้วมารู้ทีหลังว่ามีท่อน้ำรั่วซึม อาจนำไปสู่ปัญหาเชื้อราและและรอยแตกร้าวบนผนังและท่อได้เลยล่ะ เผลอๆ ต้องจ่ายค่าน้ำแพงโดยไม่รู้ตัวด้วยนะ   7. งานตกแต่งภายนอกไม่เนี้ยบ ไม่ว่าจะทางเดิน สนามหญ้า ความชื้นรอบบ้าน หรือแม้แต่การล้อมรั้ว หากไม่เช็คให้ดีอาจเจองานไม่เนี้ยบ นอกจากจะส่งผลเรื่องความสวยงามแล้ว ยังอาจเป็นปัญหาในการใช้งานในภายหลังได้   8. ช่องระบายอากาศ หนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือช่องระบายอากาศ ทั้งในครัว ในห้องน้ำ หรือห้องเก็บเครื่องมือ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นจุดที่มีความชื้นสูง หากไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอจะก่อให้เกิดเชื้อรา ตะไคร่น้ำ และรอยผุกร่อนตามมุมบ้าน   9. อื่นๆ ดีเทลอื่นๆ อาจปรากฏหลังจากเราตรวจรับบ้านไปแล้ว เช่น ตะปูที่ตอกไม่สนิท หลอดไฟขาด กระเบื้องแตก ยาแนวไม่ดี เพื่อกันพลาดเราควรเช็คตั้งแต่ตอนตรวจรับบ้านจะดีที่สุด   การตรวจรับบ้านเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เราควรให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจเซ็นรับโอน เพราะเมื่อผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้วการร้องขอให้โครงการแก้ไขปรับปรุงส่วนที่ไม่สมบูรณ์และจุดบกพร่องภายในบ้านจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้นส่วนไหนที่เราไม่สบายใจและอยากขอให้โครงการแก้ไขให้ ควรแจ้งไปตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่มานั่งปวดหัวกันภายหลัง  
23
MAY
9 จุดสำคัญที่คนมักมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้าน
หลายคนเลือกตรวจรับบ้านเองเพื่อประหยับงบประมาณในการใช้บริการตรวจบ้าน แน่นอนว่าก่อนจะเริ่มเข้าตรวจรับเราจำเป็นต้องศึกษาขั้นตอนและจุดต่างๆ ที่ต้องเช็คให้ถี่ถ้วน   แต่ในระหว่างขั้นตอนการตรวจบ้าน หลายคนมักจะมองข้ามจุดสำคัญๆ เล็กๆ น้อยไป ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดปัญหาภายหลังจากเซ็นรับโอน ทั้งต้องเสียเงินซ่อมแซมเอง แถมยังเสียเวลาหาช่างที่ไว้ใจได้อีกด้วย เราลองไปสำรวจ 10 จุดสำคัญที่ถูกมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้านกันดีกว่า จะได้ไม่พลาดเซ็นรับโอนและต้องมานั่งกลุ้มใจกันทีหลัง     1. รอยรั่วซึม รอยน้ำรั่วซึมเป็นปัญหาหลักๆ ที่คนมักจะเจอหลังตรวจรับบ้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรอยรั่วบนหลังคา ห้องน้ำ หรืออย่างร้ายแรงที่สุดคือท่อเดินน้ำหลักในบ้าน ซึ่งถ้าหากไม่ตรวจเช็คให้ดีอาจเกิดคราบสนิม รา และยังทำให้วัสดุเปื่อยยุ่ยจากน้ำซึมได้ เป็นไปได้ควรเข้าตรวจรับบ้านในช่วงหน้าฝน หรือถ้าหากหมดหน้าฝนแล้วจริงๆ ก็ขอโครงการขึ้นไปเช็คบนฝ้าเพื่อหารอยน้ำซึมได้เลย   2. การเดินไฟ ระบบไฟฟ้าภายในบ้านเป็นส่วนที่สำคัญมาก หากติดตั้งระบบไฟที่ไม่เหมาะกับลักษณะบ้านก็อาจทำให้เกิดปัญหาในการใช้งานได้ และบางโครงการที่สร้างมานานอาจจะยังใช้การเดินไฟแบบเก่าซึ่งต้องมีการอัปเกรดใหม่เพื่อให้เหมาะกับผู้ใช้งานในปัจจุบัน ดังนั้นการเช็คระบบไฟและสายไฟในบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง   3. หลังคาชำรุด หลังคาชำรุดเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่างๆ ภายในบ้าน ส่งผลเสียทั้งในด้านโครงสร้างและการตกแต่ง นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมหลังคามีราคาค่อนข้างสูง หากมาพบปัญหาหลังคาชำรุดในภายหลัง ไม่ว่าจะจากแผ่นกระเบื้องปูไม่ดีพอ มีรอยซึม หรือแม้แต่รอยเว้าแหว่งเพียงเล็กน้อย รับรองว่าซ่อมไม่คุ้มแน่   4. ข้อบกพร่องเล็กๆ คนมักมองข้ามข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้าน เช่น รอยด่างของสีผนัง รอยแหว่งของเฟอร์นิเจอร์ (โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน) หรือแม้แต่คราบสกปรกเล็กๆ ที่มากับตัวบ้าน เพื่อความสบายใจและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงภายหลัง เราควรเช็คข้อบกพร่องเหล่านี้ก่อนตรวจรับบ้านจะดีกว่า   5. ปัญหาจากโครงสร้าง รอยผนังแตก ประตูตก หน้าต่างปิดไม่สนิท หรือซิลิโคนรอบหน้าต่างหลุดร่อนก็นับเป็นปัญหาเรื่องโครงสร้างที่มักพบหลังตรวจรับบ้าน ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้มูลค่าของตัวบ้านลดลงเมื่อจำเป็นต้องขายทิ้ง   6. ปัญหาจากท่อน้ำ ปัญหาจากท่อน้ำนี่แหละที่ทำให้บิลค่าน้ำของเราพุ่งกระฉูด หากไม่ตรวจเช็คให้ดีแล้วมารู้ทีหลังว่ามีท่อน้ำรั่วซึม อาจนำไปสู่ปัญหาเชื้อราและและรอยแตกร้าวบนผนังและท่อได้เลยล่ะ เผลอๆ ต้องจ่ายค่าน้ำแพงโดยไม่รู้ตัวด้วยนะ   7. งานตกแต่งภายนอกไม่เนี้ยบ ไม่ว่าจะทางเดิน สนามหญ้า ความชื้นรอบบ้าน หรือแม้แต่การล้อมรั้ว หากไม่เช็คให้ดีอาจเจองานไม่เนี้ยบ นอกจากจะส่งผลเรื่องความสวยงามแล้ว ยังอาจเป็นปัญหาในการใช้งานในภายหลังได้   8. ช่องระบายอากาศ หนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือช่องระบายอากาศ ทั้งในครัว ในห้องน้ำ หรือห้องเก็บเครื่องมือ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นจุดที่มีความชื้นสูง หากไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอจะก่อให้เกิดเชื้อรา ตะไคร่น้ำ และรอยผุกร่อนตามมุมบ้าน   9. อื่นๆ ดีเทลอื่นๆ อาจปรากฏหลังจากเราตรวจรับบ้านไปแล้ว เช่น ตะปูที่ตอกไม่สนิท หลอดไฟขาด กระเบื้องแตก ยาแนวไม่ดี เพื่อกันพลาดเราควรเช็คตั้งแต่ตอนตรวจรับบ้านจะดีที่สุด   การตรวจรับบ้านเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เราควรให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจเซ็นรับโอน เพราะเมื่อผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้วการร้องขอให้โครงการแก้ไขปรับปรุงส่วนที่ไม่สมบูรณ์และจุดบกพร่องภายในบ้านจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้นส่วนไหนที่เราไม่สบายใจและอยากขอให้โครงการแก้ไขให้ ควรแจ้งไปตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่มานั่งปวดหัวกันภายหลัง  
23
MAY
9 จุดสำคัญที่คนมักมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้าน
หลายคนเลือกตรวจรับบ้านเองเพื่อประหยับงบประมาณในการใช้บริการตรวจบ้าน แน่นอนว่าก่อนจะเริ่มเข้าตรวจรับเราจำเป็นต้องศึกษาขั้นตอนและจุดต่างๆ ที่ต้องเช็คให้ถี่ถ้วน   แต่ในระหว่างขั้นตอนการตรวจบ้าน หลายคนมักจะมองข้ามจุดสำคัญๆ เล็กๆ น้อยไป ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดปัญหาภายหลังจากเซ็นรับโอน ทั้งต้องเสียเงินซ่อมแซมเอง แถมยังเสียเวลาหาช่างที่ไว้ใจได้อีกด้วย เราลองไปสำรวจ 10 จุดสำคัญที่ถูกมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้านกันดีกว่า จะได้ไม่พลาดเซ็นรับโอนและต้องมานั่งกลุ้มใจกันทีหลัง     1. รอยรั่วซึม รอยน้ำรั่วซึมเป็นปัญหาหลักๆ ที่คนมักจะเจอหลังตรวจรับบ้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรอยรั่วบนหลังคา ห้องน้ำ หรืออย่างร้ายแรงที่สุดคือท่อเดินน้ำหลักในบ้าน ซึ่งถ้าหากไม่ตรวจเช็คให้ดีอาจเกิดคราบสนิม รา และยังทำให้วัสดุเปื่อยยุ่ยจากน้ำซึมได้ เป็นไปได้ควรเข้าตรวจรับบ้านในช่วงหน้าฝน หรือถ้าหากหมดหน้าฝนแล้วจริงๆ ก็ขอโครงการขึ้นไปเช็คบนฝ้าเพื่อหารอยน้ำซึมได้เลย   2. การเดินไฟ ระบบไฟฟ้าภายในบ้านเป็นส่วนที่สำคัญมาก หากติดตั้งระบบไฟที่ไม่เหมาะกับลักษณะบ้านก็อาจทำให้เกิดปัญหาในการใช้งานได้ และบางโครงการที่สร้างมานานอาจจะยังใช้การเดินไฟแบบเก่าซึ่งต้องมีการอัปเกรดใหม่เพื่อให้เหมาะกับผู้ใช้งานในปัจจุบัน ดังนั้นการเช็คระบบไฟและสายไฟในบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง   3. หลังคาชำรุด หลังคาชำรุดเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่างๆ ภายในบ้าน ส่งผลเสียทั้งในด้านโครงสร้างและการตกแต่ง นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมหลังคามีราคาค่อนข้างสูง หากมาพบปัญหาหลังคาชำรุดในภายหลัง ไม่ว่าจะจากแผ่นกระเบื้องปูไม่ดีพอ มีรอยซึม หรือแม้แต่รอยเว้าแหว่งเพียงเล็กน้อย รับรองว่าซ่อมไม่คุ้มแน่   4. ข้อบกพร่องเล็กๆ คนมักมองข้ามข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้าน เช่น รอยด่างของสีผนัง รอยแหว่งของเฟอร์นิเจอร์ (โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน) หรือแม้แต่คราบสกปรกเล็กๆ ที่มากับตัวบ้าน เพื่อความสบายใจและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงภายหลัง เราควรเช็คข้อบกพร่องเหล่านี้ก่อนตรวจรับบ้านจะดีกว่า   5. ปัญหาจากโครงสร้าง รอยผนังแตก ประตูตก หน้าต่างปิดไม่สนิท หรือซิลิโคนรอบหน้าต่างหลุดร่อนก็นับเป็นปัญหาเรื่องโครงสร้างที่มักพบหลังตรวจรับบ้าน ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้มูลค่าของตัวบ้านลดลงเมื่อจำเป็นต้องขายทิ้ง   6. ปัญหาจากท่อน้ำ ปัญหาจากท่อน้ำนี่แหละที่ทำให้บิลค่าน้ำของเราพุ่งกระฉูด หากไม่ตรวจเช็คให้ดีแล้วมารู้ทีหลังว่ามีท่อน้ำรั่วซึม อาจนำไปสู่ปัญหาเชื้อราและและรอยแตกร้าวบนผนังและท่อได้เลยล่ะ เผลอๆ ต้องจ่ายค่าน้ำแพงโดยไม่รู้ตัวด้วยนะ   7. งานตกแต่งภายนอกไม่เนี้ยบ ไม่ว่าจะทางเดิน สนามหญ้า ความชื้นรอบบ้าน หรือแม้แต่การล้อมรั้ว หากไม่เช็คให้ดีอาจเจองานไม่เนี้ยบ นอกจากจะส่งผลเรื่องความสวยงามแล้ว ยังอาจเป็นปัญหาในการใช้งานในภายหลังได้   8. ช่องระบายอากาศ หนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือช่องระบายอากาศ ทั้งในครัว ในห้องน้ำ หรือห้องเก็บเครื่องมือ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นจุดที่มีความชื้นสูง หากไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอจะก่อให้เกิดเชื้อรา ตะไคร่น้ำ และรอยผุกร่อนตามมุมบ้าน   9. อื่นๆ ดีเทลอื่นๆ อาจปรากฏหลังจากเราตรวจรับบ้านไปแล้ว เช่น ตะปูที่ตอกไม่สนิท หลอดไฟขาด กระเบื้องแตก ยาแนวไม่ดี เพื่อกันพลาดเราควรเช็คตั้งแต่ตอนตรวจรับบ้านจะดีที่สุด   การตรวจรับบ้านเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เราควรให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจเซ็นรับโอน เพราะเมื่อผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้วการร้องขอให้โครงการแก้ไขปรับปรุงส่วนที่ไม่สมบูรณ์และจุดบกพร่องภายในบ้านจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้นส่วนไหนที่เราไม่สบายใจและอยากขอให้โครงการแก้ไขให้ ควรแจ้งไปตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่มานั่งปวดหัวกันภายหลัง  
23
MAY
9 จุดสำคัญที่คนมักมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้าน
หลายคนเลือกตรวจรับบ้านเองเพื่อประหยับงบประมาณในการใช้บริการตรวจบ้าน แน่นอนว่าก่อนจะเริ่มเข้าตรวจรับเราจำเป็นต้องศึกษาขั้นตอนและจุดต่างๆ ที่ต้องเช็คให้ถี่ถ้วน   แต่ในระหว่างขั้นตอนการตรวจบ้าน หลายคนมักจะมองข้ามจุดสำคัญๆ เล็กๆ น้อยไป ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดปัญหาภายหลังจากเซ็นรับโอน ทั้งต้องเสียเงินซ่อมแซมเอง แถมยังเสียเวลาหาช่างที่ไว้ใจได้อีกด้วย เราลองไปสำรวจ 10 จุดสำคัญที่ถูกมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้านกันดีกว่า จะได้ไม่พลาดเซ็นรับโอนและต้องมานั่งกลุ้มใจกันทีหลัง     1. รอยรั่วซึม รอยน้ำรั่วซึมเป็นปัญหาหลักๆ ที่คนมักจะเจอหลังตรวจรับบ้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรอยรั่วบนหลังคา ห้องน้ำ หรืออย่างร้ายแรงที่สุดคือท่อเดินน้ำหลักในบ้าน ซึ่งถ้าหากไม่ตรวจเช็คให้ดีอาจเกิดคราบสนิม รา และยังทำให้วัสดุเปื่อยยุ่ยจากน้ำซึมได้ เป็นไปได้ควรเข้าตรวจรับบ้านในช่วงหน้าฝน หรือถ้าหากหมดหน้าฝนแล้วจริงๆ ก็ขอโครงการขึ้นไปเช็คบนฝ้าเพื่อหารอยน้ำซึมได้เลย   2. การเดินไฟ ระบบไฟฟ้าภายในบ้านเป็นส่วนที่สำคัญมาก หากติดตั้งระบบไฟที่ไม่เหมาะกับลักษณะบ้านก็อาจทำให้เกิดปัญหาในการใช้งานได้ และบางโครงการที่สร้างมานานอาจจะยังใช้การเดินไฟแบบเก่าซึ่งต้องมีการอัปเกรดใหม่เพื่อให้เหมาะกับผู้ใช้งานในปัจจุบัน ดังนั้นการเช็คระบบไฟและสายไฟในบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง   3. หลังคาชำรุด หลังคาชำรุดเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่างๆ ภายในบ้าน ส่งผลเสียทั้งในด้านโครงสร้างและการตกแต่ง นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมหลังคามีราคาค่อนข้างสูง หากมาพบปัญหาหลังคาชำรุดในภายหลัง ไม่ว่าจะจากแผ่นกระเบื้องปูไม่ดีพอ มีรอยซึม หรือแม้แต่รอยเว้าแหว่งเพียงเล็กน้อย รับรองว่าซ่อมไม่คุ้มแน่   4. ข้อบกพร่องเล็กๆ คนมักมองข้ามข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้าน เช่น รอยด่างของสีผนัง รอยแหว่งของเฟอร์นิเจอร์ (โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน) หรือแม้แต่คราบสกปรกเล็กๆ ที่มากับตัวบ้าน เพื่อความสบายใจและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงภายหลัง เราควรเช็คข้อบกพร่องเหล่านี้ก่อนตรวจรับบ้านจะดีกว่า   5. ปัญหาจากโครงสร้าง รอยผนังแตก ประตูตก หน้าต่างปิดไม่สนิท หรือซิลิโคนรอบหน้าต่างหลุดร่อนก็นับเป็นปัญหาเรื่องโครงสร้างที่มักพบหลังตรวจรับบ้าน ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้มูลค่าของตัวบ้านลดลงเมื่อจำเป็นต้องขายทิ้ง   6. ปัญหาจากท่อน้ำ ปัญหาจากท่อน้ำนี่แหละที่ทำให้บิลค่าน้ำของเราพุ่งกระฉูด หากไม่ตรวจเช็คให้ดีแล้วมารู้ทีหลังว่ามีท่อน้ำรั่วซึม อาจนำไปสู่ปัญหาเชื้อราและและรอยแตกร้าวบนผนังและท่อได้เลยล่ะ เผลอๆ ต้องจ่ายค่าน้ำแพงโดยไม่รู้ตัวด้วยนะ   7. งานตกแต่งภายนอกไม่เนี้ยบ ไม่ว่าจะทางเดิน สนามหญ้า ความชื้นรอบบ้าน หรือแม้แต่การล้อมรั้ว หากไม่เช็คให้ดีอาจเจองานไม่เนี้ยบ นอกจากจะส่งผลเรื่องความสวยงามแล้ว ยังอาจเป็นปัญหาในการใช้งานในภายหลังได้   8. ช่องระบายอากาศ หนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือช่องระบายอากาศ ทั้งในครัว ในห้องน้ำ หรือห้องเก็บเครื่องมือ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นจุดที่มีความชื้นสูง หากไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอจะก่อให้เกิดเชื้อรา ตะไคร่น้ำ และรอยผุกร่อนตามมุมบ้าน   9. อื่นๆ ดีเทลอื่นๆ อาจปรากฏหลังจากเราตรวจรับบ้านไปแล้ว เช่น ตะปูที่ตอกไม่สนิท หลอดไฟขาด กระเบื้องแตก ยาแนวไม่ดี เพื่อกันพลาดเราควรเช็คตั้งแต่ตอนตรวจรับบ้านจะดีที่สุด   การตรวจรับบ้านเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เราควรให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจเซ็นรับโอน เพราะเมื่อผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้วการร้องขอให้โครงการแก้ไขปรับปรุงส่วนที่ไม่สมบูรณ์และจุดบกพร่องภายในบ้านจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้นส่วนไหนที่เราไม่สบายใจและอยากขอให้โครงการแก้ไขให้ ควรแจ้งไปตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่มานั่งปวดหัวกันภายหลัง  
23
MAY
9 จุดสำคัญที่คนมักมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้าน
หลายคนเลือกตรวจรับบ้านเองเพื่อประหยับงบประมาณในการใช้บริการตรวจบ้าน แน่นอนว่าก่อนจะเริ่มเข้าตรวจรับเราจำเป็นต้องศึกษาขั้นตอนและจุดต่างๆ ที่ต้องเช็คให้ถี่ถ้วน   แต่ในระหว่างขั้นตอนการตรวจบ้าน หลายคนมักจะมองข้ามจุดสำคัญๆ เล็กๆ น้อยไป ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดปัญหาภายหลังจากเซ็นรับโอน ทั้งต้องเสียเงินซ่อมแซมเอง แถมยังเสียเวลาหาช่างที่ไว้ใจได้อีกด้วย เราลองไปสำรวจ 10 จุดสำคัญที่ถูกมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้านกันดีกว่า จะได้ไม่พลาดเซ็นรับโอนและต้องมานั่งกลุ้มใจกันทีหลัง     1. รอยรั่วซึม รอยน้ำรั่วซึมเป็นปัญหาหลักๆ ที่คนมักจะเจอหลังตรวจรับบ้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรอยรั่วบนหลังคา ห้องน้ำ หรืออย่างร้ายแรงที่สุดคือท่อเดินน้ำหลักในบ้าน ซึ่งถ้าหากไม่ตรวจเช็คให้ดีอาจเกิดคราบสนิม รา และยังทำให้วัสดุเปื่อยยุ่ยจากน้ำซึมได้ เป็นไปได้ควรเข้าตรวจรับบ้านในช่วงหน้าฝน หรือถ้าหากหมดหน้าฝนแล้วจริงๆ ก็ขอโครงการขึ้นไปเช็คบนฝ้าเพื่อหารอยน้ำซึมได้เลย   2. การเดินไฟ ระบบไฟฟ้าภายในบ้านเป็นส่วนที่สำคัญมาก หากติดตั้งระบบไฟที่ไม่เหมาะกับลักษณะบ้านก็อาจทำให้เกิดปัญหาในการใช้งานได้ และบางโครงการที่สร้างมานานอาจจะยังใช้การเดินไฟแบบเก่าซึ่งต้องมีการอัปเกรดใหม่เพื่อให้เหมาะกับผู้ใช้งานในปัจจุบัน ดังนั้นการเช็คระบบไฟและสายไฟในบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง   3. หลังคาชำรุด หลังคาชำรุดเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่างๆ ภายในบ้าน ส่งผลเสียทั้งในด้านโครงสร้างและการตกแต่ง นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมหลังคามีราคาค่อนข้างสูง หากมาพบปัญหาหลังคาชำรุดในภายหลัง ไม่ว่าจะจากแผ่นกระเบื้องปูไม่ดีพอ มีรอยซึม หรือแม้แต่รอยเว้าแหว่งเพียงเล็กน้อย รับรองว่าซ่อมไม่คุ้มแน่   4. ข้อบกพร่องเล็กๆ คนมักมองข้ามข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้าน เช่น รอยด่างของสีผนัง รอยแหว่งของเฟอร์นิเจอร์ (โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน) หรือแม้แต่คราบสกปรกเล็กๆ ที่มากับตัวบ้าน เพื่อความสบายใจและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงภายหลัง เราควรเช็คข้อบกพร่องเหล่านี้ก่อนตรวจรับบ้านจะดีกว่า   5. ปัญหาจากโครงสร้าง รอยผนังแตก ประตูตก หน้าต่างปิดไม่สนิท หรือซิลิโคนรอบหน้าต่างหลุดร่อนก็นับเป็นปัญหาเรื่องโครงสร้างที่มักพบหลังตรวจรับบ้าน ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้มูลค่าของตัวบ้านลดลงเมื่อจำเป็นต้องขายทิ้ง   6. ปัญหาจากท่อน้ำ ปัญหาจากท่อน้ำนี่แหละที่ทำให้บิลค่าน้ำของเราพุ่งกระฉูด หากไม่ตรวจเช็คให้ดีแล้วมารู้ทีหลังว่ามีท่อน้ำรั่วซึม อาจนำไปสู่ปัญหาเชื้อราและและรอยแตกร้าวบนผนังและท่อได้เลยล่ะ เผลอๆ ต้องจ่ายค่าน้ำแพงโดยไม่รู้ตัวด้วยนะ   7. งานตกแต่งภายนอกไม่เนี้ยบ ไม่ว่าจะทางเดิน สนามหญ้า ความชื้นรอบบ้าน หรือแม้แต่การล้อมรั้ว หากไม่เช็คให้ดีอาจเจองานไม่เนี้ยบ นอกจากจะส่งผลเรื่องความสวยงามแล้ว ยังอาจเป็นปัญหาในการใช้งานในภายหลังได้   8. ช่องระบายอากาศ หนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือช่องระบายอากาศ ทั้งในครัว ในห้องน้ำ หรือห้องเก็บเครื่องมือ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นจุดที่มีความชื้นสูง หากไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอจะก่อให้เกิดเชื้อรา ตะไคร่น้ำ และรอยผุกร่อนตามมุมบ้าน   9. อื่นๆ ดีเทลอื่นๆ อาจปรากฏหลังจากเราตรวจรับบ้านไปแล้ว เช่น ตะปูที่ตอกไม่สนิท หลอดไฟขาด กระเบื้องแตก ยาแนวไม่ดี เพื่อกันพลาดเราควรเช็คตั้งแต่ตอนตรวจรับบ้านจะดีที่สุด   การตรวจรับบ้านเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เราควรให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจเซ็นรับโอน เพราะเมื่อผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้วการร้องขอให้โครงการแก้ไขปรับปรุงส่วนที่ไม่สมบูรณ์และจุดบกพร่องภายในบ้านจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้นส่วนไหนที่เราไม่สบายใจและอยากขอให้โครงการแก้ไขให้ ควรแจ้งไปตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่มานั่งปวดหัวกันภายหลัง  
23
MAY
9 จุดสำคัญที่คนมักมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้าน
หลายคนเลือกตรวจรับบ้านเองเพื่อประหยับงบประมาณในการใช้บริการตรวจบ้าน แน่นอนว่าก่อนจะเริ่มเข้าตรวจรับเราจำเป็นต้องศึกษาขั้นตอนและจุดต่างๆ ที่ต้องเช็คให้ถี่ถ้วน   แต่ในระหว่างขั้นตอนการตรวจบ้าน หลายคนมักจะมองข้ามจุดสำคัญๆ เล็กๆ น้อยไป ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดปัญหาภายหลังจากเซ็นรับโอน ทั้งต้องเสียเงินซ่อมแซมเอง แถมยังเสียเวลาหาช่างที่ไว้ใจได้อีกด้วย เราลองไปสำรวจ 10 จุดสำคัญที่ถูกมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้านกันดีกว่า จะได้ไม่พลาดเซ็นรับโอนและต้องมานั่งกลุ้มใจกันทีหลัง     1. รอยรั่วซึม รอยน้ำรั่วซึมเป็นปัญหาหลักๆ ที่คนมักจะเจอหลังตรวจรับบ้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรอยรั่วบนหลังคา ห้องน้ำ หรืออย่างร้ายแรงที่สุดคือท่อเดินน้ำหลักในบ้าน ซึ่งถ้าหากไม่ตรวจเช็คให้ดีอาจเกิดคราบสนิม รา และยังทำให้วัสดุเปื่อยยุ่ยจากน้ำซึมได้ เป็นไปได้ควรเข้าตรวจรับบ้านในช่วงหน้าฝน หรือถ้าหากหมดหน้าฝนแล้วจริงๆ ก็ขอโครงการขึ้นไปเช็คบนฝ้าเพื่อหารอยน้ำซึมได้เลย   2. การเดินไฟ ระบบไฟฟ้าภายในบ้านเป็นส่วนที่สำคัญมาก หากติดตั้งระบบไฟที่ไม่เหมาะกับลักษณะบ้านก็อาจทำให้เกิดปัญหาในการใช้งานได้ และบางโครงการที่สร้างมานานอาจจะยังใช้การเดินไฟแบบเก่าซึ่งต้องมีการอัปเกรดใหม่เพื่อให้เหมาะกับผู้ใช้งานในปัจจุบัน ดังนั้นการเช็คระบบไฟและสายไฟในบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง   3. หลังคาชำรุด หลังคาชำรุดเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่างๆ ภายในบ้าน ส่งผลเสียทั้งในด้านโครงสร้างและการตกแต่ง นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมหลังคามีราคาค่อนข้างสูง หากมาพบปัญหาหลังคาชำรุดในภายหลัง ไม่ว่าจะจากแผ่นกระเบื้องปูไม่ดีพอ มีรอยซึม หรือแม้แต่รอยเว้าแหว่งเพียงเล็กน้อย รับรองว่าซ่อมไม่คุ้มแน่   4. ข้อบกพร่องเล็กๆ คนมักมองข้ามข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้าน เช่น รอยด่างของสีผนัง รอยแหว่งของเฟอร์นิเจอร์ (โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน) หรือแม้แต่คราบสกปรกเล็กๆ ที่มากับตัวบ้าน เพื่อความสบายใจและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงภายหลัง เราควรเช็คข้อบกพร่องเหล่านี้ก่อนตรวจรับบ้านจะดีกว่า   5. ปัญหาจากโครงสร้าง รอยผนังแตก ประตูตก หน้าต่างปิดไม่สนิท หรือซิลิโคนรอบหน้าต่างหลุดร่อนก็นับเป็นปัญหาเรื่องโครงสร้างที่มักพบหลังตรวจรับบ้าน ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้มูลค่าของตัวบ้านลดลงเมื่อจำเป็นต้องขายทิ้ง   6. ปัญหาจากท่อน้ำ ปัญหาจากท่อน้ำนี่แหละที่ทำให้บิลค่าน้ำของเราพุ่งกระฉูด หากไม่ตรวจเช็คให้ดีแล้วมารู้ทีหลังว่ามีท่อน้ำรั่วซึม อาจนำไปสู่ปัญหาเชื้อราและและรอยแตกร้าวบนผนังและท่อได้เลยล่ะ เผลอๆ ต้องจ่ายค่าน้ำแพงโดยไม่รู้ตัวด้วยนะ   7. งานตกแต่งภายนอกไม่เนี้ยบ ไม่ว่าจะทางเดิน สนามหญ้า ความชื้นรอบบ้าน หรือแม้แต่การล้อมรั้ว หากไม่เช็คให้ดีอาจเจองานไม่เนี้ยบ นอกจากจะส่งผลเรื่องความสวยงามแล้ว ยังอาจเป็นปัญหาในการใช้งานในภายหลังได้   8. ช่องระบายอากาศ หนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือช่องระบายอากาศ ทั้งในครัว ในห้องน้ำ หรือห้องเก็บเครื่องมือ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นจุดที่มีความชื้นสูง หากไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอจะก่อให้เกิดเชื้อรา ตะไคร่น้ำ และรอยผุกร่อนตามมุมบ้าน   9. อื่นๆ ดีเทลอื่นๆ อาจปรากฏหลังจากเราตรวจรับบ้านไปแล้ว เช่น ตะปูที่ตอกไม่สนิท หลอดไฟขาด กระเบื้องแตก ยาแนวไม่ดี เพื่อกันพลาดเราควรเช็คตั้งแต่ตอนตรวจรับบ้านจะดีที่สุด   การตรวจรับบ้านเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เราควรให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจเซ็นรับโอน เพราะเมื่อผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้วการร้องขอให้โครงการแก้ไขปรับปรุงส่วนที่ไม่สมบูรณ์และจุดบกพร่องภายในบ้านจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้นส่วนไหนที่เราไม่สบายใจและอยากขอให้โครงการแก้ไขให้ ควรแจ้งไปตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่มานั่งปวดหัวกันภายหลัง  
23
MAY
9 จุดสำคัญที่คนมักมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้าน
หลายคนเลือกตรวจรับบ้านเองเพื่อประหยับงบประมาณในการใช้บริการตรวจบ้าน แน่นอนว่าก่อนจะเริ่มเข้าตรวจรับเราจำเป็นต้องศึกษาขั้นตอนและจุดต่างๆ ที่ต้องเช็คให้ถี่ถ้วน   แต่ในระหว่างขั้นตอนการตรวจบ้าน หลายคนมักจะมองข้ามจุดสำคัญๆ เล็กๆ น้อยไป ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดปัญหาภายหลังจากเซ็นรับโอน ทั้งต้องเสียเงินซ่อมแซมเอง แถมยังเสียเวลาหาช่างที่ไว้ใจได้อีกด้วย เราลองไปสำรวจ 10 จุดสำคัญที่ถูกมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้านกันดีกว่า จะได้ไม่พลาดเซ็นรับโอนและต้องมานั่งกลุ้มใจกันทีหลัง     1. รอยรั่วซึม รอยน้ำรั่วซึมเป็นปัญหาหลักๆ ที่คนมักจะเจอหลังตรวจรับบ้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรอยรั่วบนหลังคา ห้องน้ำ หรืออย่างร้ายแรงที่สุดคือท่อเดินน้ำหลักในบ้าน ซึ่งถ้าหากไม่ตรวจเช็คให้ดีอาจเกิดคราบสนิม รา และยังทำให้วัสดุเปื่อยยุ่ยจากน้ำซึมได้ เป็นไปได้ควรเข้าตรวจรับบ้านในช่วงหน้าฝน หรือถ้าหากหมดหน้าฝนแล้วจริงๆ ก็ขอโครงการขึ้นไปเช็คบนฝ้าเพื่อหารอยน้ำซึมได้เลย   2. การเดินไฟ ระบบไฟฟ้าภายในบ้านเป็นส่วนที่สำคัญมาก หากติดตั้งระบบไฟที่ไม่เหมาะกับลักษณะบ้านก็อาจทำให้เกิดปัญหาในการใช้งานได้ และบางโครงการที่สร้างมานานอาจจะยังใช้การเดินไฟแบบเก่าซึ่งต้องมีการอัปเกรดใหม่เพื่อให้เหมาะกับผู้ใช้งานในปัจจุบัน ดังนั้นการเช็คระบบไฟและสายไฟในบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง   3. หลังคาชำรุด หลังคาชำรุดเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่างๆ ภายในบ้าน ส่งผลเสียทั้งในด้านโครงสร้างและการตกแต่ง นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมหลังคามีราคาค่อนข้างสูง หากมาพบปัญหาหลังคาชำรุดในภายหลัง ไม่ว่าจะจากแผ่นกระเบื้องปูไม่ดีพอ มีรอยซึม หรือแม้แต่รอยเว้าแหว่งเพียงเล็กน้อย รับรองว่าซ่อมไม่คุ้มแน่   4. ข้อบกพร่องเล็กๆ คนมักมองข้ามข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้าน เช่น รอยด่างของสีผนัง รอยแหว่งของเฟอร์นิเจอร์ (โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน) หรือแม้แต่คราบสกปรกเล็กๆ ที่มากับตัวบ้าน เพื่อความสบายใจและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงภายหลัง เราควรเช็คข้อบกพร่องเหล่านี้ก่อนตรวจรับบ้านจะดีกว่า   5. ปัญหาจากโครงสร้าง รอยผนังแตก ประตูตก หน้าต่างปิดไม่สนิท หรือซิลิโคนรอบหน้าต่างหลุดร่อนก็นับเป็นปัญหาเรื่องโครงสร้างที่มักพบหลังตรวจรับบ้าน ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้มูลค่าของตัวบ้านลดลงเมื่อจำเป็นต้องขายทิ้ง   6. ปัญหาจากท่อน้ำ ปัญหาจากท่อน้ำนี่แหละที่ทำให้บิลค่าน้ำของเราพุ่งกระฉูด หากไม่ตรวจเช็คให้ดีแล้วมารู้ทีหลังว่ามีท่อน้ำรั่วซึม อาจนำไปสู่ปัญหาเชื้อราและและรอยแตกร้าวบนผนังและท่อได้เลยล่ะ เผลอๆ ต้องจ่ายค่าน้ำแพงโดยไม่รู้ตัวด้วยนะ   7. งานตกแต่งภายนอกไม่เนี้ยบ ไม่ว่าจะทางเดิน สนามหญ้า ความชื้นรอบบ้าน หรือแม้แต่การล้อมรั้ว หากไม่เช็คให้ดีอาจเจองานไม่เนี้ยบ นอกจากจะส่งผลเรื่องความสวยงามแล้ว ยังอาจเป็นปัญหาในการใช้งานในภายหลังได้   8. ช่องระบายอากาศ หนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือช่องระบายอากาศ ทั้งในครัว ในห้องน้ำ หรือห้องเก็บเครื่องมือ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นจุดที่มีความชื้นสูง หากไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอจะก่อให้เกิดเชื้อรา ตะไคร่น้ำ และรอยผุกร่อนตามมุมบ้าน   9. อื่นๆ ดีเทลอื่นๆ อาจปรากฏหลังจากเราตรวจรับบ้านไปแล้ว เช่น ตะปูที่ตอกไม่สนิท หลอดไฟขาด กระเบื้องแตก ยาแนวไม่ดี เพื่อกันพลาดเราควรเช็คตั้งแต่ตอนตรวจรับบ้านจะดีที่สุด   การตรวจรับบ้านเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เราควรให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจเซ็นรับโอน เพราะเมื่อผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้วการร้องขอให้โครงการแก้ไขปรับปรุงส่วนที่ไม่สมบูรณ์และจุดบกพร่องภายในบ้านจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้นส่วนไหนที่เราไม่สบายใจและอยากขอให้โครงการแก้ไขให้ ควรแจ้งไปตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่มานั่งปวดหัวกันภายหลัง  
23
MAY
9 จุดสำคัญที่คนมักมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้าน
หลายคนเลือกตรวจรับบ้านเองเพื่อประหยับงบประมาณในการใช้บริการตรวจบ้าน แน่นอนว่าก่อนจะเริ่มเข้าตรวจรับเราจำเป็นต้องศึกษาขั้นตอนและจุดต่างๆ ที่ต้องเช็คให้ถี่ถ้วน   แต่ในระหว่างขั้นตอนการตรวจบ้าน หลายคนมักจะมองข้ามจุดสำคัญๆ เล็กๆ น้อยไป ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดปัญหาภายหลังจากเซ็นรับโอน ทั้งต้องเสียเงินซ่อมแซมเอง แถมยังเสียเวลาหาช่างที่ไว้ใจได้อีกด้วย เราลองไปสำรวจ 10 จุดสำคัญที่ถูกมองข้ามเมื่อตรวจรับบ้านกันดีกว่า จะได้ไม่พลาดเซ็นรับโอนและต้องมานั่งกลุ้มใจกันทีหลัง     1. รอยรั่วซึม รอยน้ำรั่วซึมเป็นปัญหาหลักๆ ที่คนมักจะเจอหลังตรวจรับบ้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรอยรั่วบนหลังคา ห้องน้ำ หรืออย่างร้ายแรงที่สุดคือท่อเดินน้ำหลักในบ้าน ซึ่งถ้าหากไม่ตรวจเช็คให้ดีอาจเกิดคราบสนิม รา และยังทำให้วัสดุเปื่อยยุ่ยจากน้ำซึมได้ เป็นไปได้ควรเข้าตรวจรับบ้านในช่วงหน้าฝน หรือถ้าหากหมดหน้าฝนแล้วจริงๆ ก็ขอโครงการขึ้นไปเช็คบนฝ้าเพื่อหารอยน้ำซึมได้เลย   2. การเดินไฟ ระบบไฟฟ้าภายในบ้านเป็นส่วนที่สำคัญมาก หากติดตั้งระบบไฟที่ไม่เหมาะกับลักษณะบ้านก็อาจทำให้เกิดปัญหาในการใช้งานได้ และบางโครงการที่สร้างมานานอาจจะยังใช้การเดินไฟแบบเก่าซึ่งต้องมีการอัปเกรดใหม่เพื่อให้เหมาะกับผู้ใช้งานในปัจจุบัน ดังนั้นการเช็คระบบไฟและสายไฟในบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง   3. หลังคาชำรุด หลังคาชำรุดเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่างๆ ภายในบ้าน ส่งผลเสียทั้งในด้านโครงสร้างและการตกแต่ง นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมหลังคามีราคาค่อนข้างสูง หากมาพบปัญหาหลังคาชำรุดในภายหลัง ไม่ว่าจะจากแผ่นกระเบื้องปูไม่ดีพอ มีรอยซึม หรือแม้แต่รอยเว้าแหว่งเพียงเล็กน้อย รับรองว่าซ่อมไม่คุ้มแน่   4. ข้อบกพร่องเล็กๆ คนมักมองข้ามข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้าน เช่น รอยด่างของสีผนัง รอยแหว่งของเฟอร์นิเจอร์ (โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน) หรือแม้แต่คราบสกปรกเล็กๆ ที่มากับตัวบ้าน เพื่อความสบายใจและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงภายหลัง เราควรเช็คข้อบกพร่องเหล่านี้ก่อนตรวจรับบ้านจะดีกว่า   5. ปัญหาจากโครงสร้าง รอยผนังแตก ประตูตก หน้าต่างปิดไม่สนิท หรือซิลิโคนรอบหน้าต่างหลุดร่อนก็นับเป็นปัญหาเรื่องโครงสร้างที่มักพบหลังตรวจรับบ้าน ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้มูลค่าของตัวบ้านลดลงเมื่อจำเป็นต้องขายทิ้ง   6. ปัญหาจากท่อน้ำ ปัญหาจากท่อน้ำนี่แหละที่ทำให้บิลค่าน้ำของเราพุ่งกระฉูด หากไม่ตรวจเช็คให้ดีแล้วมารู้ทีหลังว่ามีท่อน้ำรั่วซึม อาจนำไปสู่ปัญหาเชื้อราและและรอยแตกร้าวบนผนังและท่อได้เลยล่ะ เผลอๆ ต้องจ่ายค่าน้ำแพงโดยไม่รู้ตัวด้วยนะ   7. งานตกแต่งภายนอกไม่เนี้ยบ ไม่ว่าจะทางเดิน สนามหญ้า ความชื้นรอบบ้าน หรือแม้แต่การล้อมรั้ว หากไม่เช็คให้ดีอาจเจองานไม่เนี้ยบ นอกจากจะส่งผลเรื่องความสวยงามแล้ว ยังอาจเป็นปัญหาในการใช้งานในภายหลังได้   8. ช่องระบายอากาศ หนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือช่องระบายอากาศ ทั้งในครัว ในห้องน้ำ หรือห้องเก็บเครื่องมือ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นจุดที่มีความชื้นสูง หากไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอจะก่อให้เกิดเชื้อรา ตะไคร่น้ำ และรอยผุกร่อนตามมุมบ้าน   9. อื่นๆ ดีเทลอื่นๆ อาจปรากฏหลังจากเราตรวจรับบ้านไปแล้ว เช่น ตะปูที่ตอกไม่สนิท หลอดไฟขาด กระเบื้องแตก ยาแนวไม่ดี เพื่อกันพลาดเราควรเช็คตั้งแต่ตอนตรวจรับบ้านจะดีที่สุด   การตรวจรับบ้านเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เราควรให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจเซ็นรับโอน เพราะเมื่อผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้วการร้องขอให้โครงการแก้ไขปรับปรุงส่วนที่ไม่สมบูรณ์และจุดบกพร่องภายในบ้านจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้นส่วนไหนที่เราไม่สบายใจและอยากขอให้โครงการแก้ไขให้ ควรแจ้งไปตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่มานั่งปวดหัวกันภายหลัง  
23
MAY
เปลี่ยน-ปรับ-ทิศนอนเจ้าบ้านให้ถูกหลักฮวงจุ้ย-ทำเองได้-โดยไม่ต้องเสียเงิน
การจัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ยนั้น นอกจากจะดีต่อดวงชะตาผู้อยู่อาศัยแล้ว ยังช่วยลดปัญหาการนอนหลับได้อีกด้วย  วันนี้ Livinginsider เลยขอนำผู้อ่านที่รักทุกท่านเข้าสู่บทความเปลี่ยน-ปรับคอนโดอย่างไรให้ถูกหลักฮวงจุ้ย ทำเองได้ ที่ทางผู้เขียนได้รวบรวมและคัดสรรแบบ Short Brief ผ่านหัวข้อแบบกะทัดรัดมาฝากกัน อยากรู้ว่าห้องนอนของคอนโดควรอยู่ทิศไหนดี ตามหลักฮวงจุ้ยมาฝากกัน     ทิศของที่นอนที่เหมาะสม  ทิศเหนือ  มาที่ทิศห้องนอนแรกของฮวงจุ้ยอย่างทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศนี้ยังเป็นทิศที่เหมาะกับเจ้าของบ้านอย่างมาก เพราะเป็นทิศที่ช่วยส่งเสริมให้ชีวิตของเจ้าบ้านดีขึ้น และที่สำคัญยังช่วยส่งเสริมในเรื่องโชคลาภ หน้าที่การงานเอาใจชาวออฟฟิศ    ทิศตะวันตก  ทิศที่ต้องห้ามสำหรับคนไทย เป็นทิศอัปมงคล โบราณสั่งสอนกันมาว่าถ้านอนเอาหัวไปทางทิศตะวันตก จะทำให้เจ็บป่วย อายุสั้น    ทิศใต้  ทิศใต้เป็นอีกหนึ่งทิศที่เหมาะสำหรับห้องนอน ช่วยเสริมเรื่องเกียรติยศ และชื่อเสียงเพราะในอดีตกาลพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์ได้นอนหันพระเศียรไปทางทิศใต้นั่นเอง จึงเป็นทิศที่สิริมงคลที่สุด   ทิศตะวันออก  หากมีทิศเหนือและทิศใต้ที่ว่าเป็นทิศที่ดีและสิริมงคลที่สุดแล้ว สำหรับทิศตะวันออกนั้นก็ถือได้ว่าเป็นทิศที่ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์อย่างเต็มที่ ทำให้ผู้พักอาศัยนอนหลับสบาย พร้อมรับเช้าวันใหม่ที่สว่างสดใส จึงเหมาะสำหรับเจ้าของห้องที่ต้องการความประสบความสำเร็จ    ตำแหน่งที่ตั้งของที่นอนที่ดี มาต่อกันที่ฮวงจุ้ยห้องนอนที่ควรปรับเปลี่ยนเป็นอย่างที่สอง นอกจากการหันทิศให้ถูกต้อง คือตำแหน่งของที่นอนเพราะต้องเน้นการนอนเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นตำแหน่งวางที่นอนต้องห้าม มีดังนี้    ไม่ควรอยู่ใต้ขื่อ หรือใต้คาน: อาจเกิดปัญหาด้านบริวาร และการเงินติดขัด    ไม่ควรหันไปทางประตู: เพราะเชื่อว่าจะรับพลังลบ ทำให้นอนพักได้ไม่เต็มที่ เหนื่อยง่าย    ไม่ควรอยู่ระหว่างประตู-หน้าต่าง: จะทำให้ถูกดูดพลังงานจากร่างกาย    ไม่ควรหันเข้าหากระจก: เพราะจะสะท้อนและดูดพลังงานจากเราไป    อ่านบทความที่เกี่ยวข้องได้ที่  เริ่มต้นชีวิตดีๆ ที่ลงตัวด้วยการเลือก "ทิศทาง" ของคอนโดแบบไหนให้ตรงกับไลฟ์สไตล์     หวังว่า Trick&Tips การปรับ - เปลี่ยนการจัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ยก็ทำได้ไม่ยาก เพราะมีให้เลือกกันได้หลากหลายทิศ และหลากหลายรูปแบบ ฉะนั้นถ้าใครอยากให้ห้องนอนของเราช่วยเสริมดวงชะตาและช่วยให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น ก็อย่าลืมเปลี่ยนห้องนอนให้เป็นไปตามฮวงจุ้ยเหล่านี้นะ
23
MAY
เปลี่ยน-ปรับ-ทิศนอนเจ้าบ้านให้ถูกหลักฮวงจุ้ย-ทำเองได้-โดยไม่ต้องเสียเงิน
การจัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ยนั้น นอกจากจะดีต่อดวงชะตาผู้อยู่อาศัยแล้ว ยังช่วยลดปัญหาการนอนหลับได้อีกด้วย  วันนี้ Livinginsider เลยขอนำผู้อ่านที่รักทุกท่านเข้าสู่บทความเปลี่ยน-ปรับคอนโดอย่างไรให้ถูกหลักฮวงจุ้ย ทำเองได้ ที่ทางผู้เขียนได้รวบรวมและคัดสรรแบบ Short Brief ผ่านหัวข้อแบบกะทัดรัดมาฝากกัน อยากรู้ว่าห้องนอนของคอนโดควรอยู่ทิศไหนดี ตามหลักฮวงจุ้ยมาฝากกัน     ทิศของที่นอนที่เหมาะสม  ทิศเหนือ  มาที่ทิศห้องนอนแรกของฮวงจุ้ยอย่างทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศนี้ยังเป็นทิศที่เหมาะกับเจ้าของบ้านอย่างมาก เพราะเป็นทิศที่ช่วยส่งเสริมให้ชีวิตของเจ้าบ้านดีขึ้น และที่สำคัญยังช่วยส่งเสริมในเรื่องโชคลาภ หน้าที่การงานเอาใจชาวออฟฟิศ    ทิศตะวันตก  ทิศที่ต้องห้ามสำหรับคนไทย เป็นทิศอัปมงคล โบราณสั่งสอนกันมาว่าถ้านอนเอาหัวไปทางทิศตะวันตก จะทำให้เจ็บป่วย อายุสั้น    ทิศใต้  ทิศใต้เป็นอีกหนึ่งทิศที่เหมาะสำหรับห้องนอน ช่วยเสริมเรื่องเกียรติยศ และชื่อเสียงเพราะในอดีตกาลพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์ได้นอนหันพระเศียรไปทางทิศใต้นั่นเอง จึงเป็นทิศที่สิริมงคลที่สุด   ทิศตะวันออก  หากมีทิศเหนือและทิศใต้ที่ว่าเป็นทิศที่ดีและสิริมงคลที่สุดแล้ว สำหรับทิศตะวันออกนั้นก็ถือได้ว่าเป็นทิศที่ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์อย่างเต็มที่ ทำให้ผู้พักอาศัยนอนหลับสบาย พร้อมรับเช้าวันใหม่ที่สว่างสดใส จึงเหมาะสำหรับเจ้าของห้องที่ต้องการความประสบความสำเร็จ    ตำแหน่งที่ตั้งของที่นอนที่ดี มาต่อกันที่ฮวงจุ้ยห้องนอนที่ควรปรับเปลี่ยนเป็นอย่างที่สอง นอกจากการหันทิศให้ถูกต้อง คือตำแหน่งของที่นอนเพราะต้องเน้นการนอนเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นตำแหน่งวางที่นอนต้องห้าม มีดังนี้    ไม่ควรอยู่ใต้ขื่อ หรือใต้คาน: อาจเกิดปัญหาด้านบริวาร และการเงินติดขัด    ไม่ควรหันไปทางประตู: เพราะเชื่อว่าจะรับพลังลบ ทำให้นอนพักได้ไม่เต็มที่ เหนื่อยง่าย    ไม่ควรอยู่ระหว่างประตู-หน้าต่าง: จะทำให้ถูกดูดพลังงานจากร่างกาย    ไม่ควรหันเข้าหากระจก: เพราะจะสะท้อนและดูดพลังงานจากเราไป    อ่านบทความที่เกี่ยวข้องได้ที่  เริ่มต้นชีวิตดีๆ ที่ลงตัวด้วยการเลือก "ทิศทาง" ของคอนโดแบบไหนให้ตรงกับไลฟ์สไตล์     หวังว่า Trick&Tips การปรับ - เปลี่ยนการจัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ยก็ทำได้ไม่ยาก เพราะมีให้เลือกกันได้หลากหลายทิศ และหลากหลายรูปแบบ ฉะนั้นถ้าใครอยากให้ห้องนอนของเราช่วยเสริมดวงชะตาและช่วยให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น ก็อย่าลืมเปลี่ยนห้องนอนให้เป็นไปตามฮวงจุ้ยเหล่านี้นะ
23
MAY
เปลี่ยน-ปรับ-ทิศนอนเจ้าบ้านให้ถูกหลักฮวงจุ้ย-ทำเองได้-โดยไม่ต้องเสียเงิน
การจัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ยนั้น นอกจากจะดีต่อดวงชะตาผู้อยู่อาศัยแล้ว ยังช่วยลดปัญหาการนอนหลับได้อีกด้วย  วันนี้ Livinginsider เลยขอนำผู้อ่านที่รักทุกท่านเข้าสู่บทความเปลี่ยน-ปรับคอนโดอย่างไรให้ถูกหลักฮวงจุ้ย ทำเองได้ ที่ทางผู้เขียนได้รวบรวมและคัดสรรแบบ Short Brief ผ่านหัวข้อแบบกะทัดรัดมาฝากกัน อยากรู้ว่าห้องนอนของคอนโดควรอยู่ทิศไหนดี ตามหลักฮวงจุ้ยมาฝากกัน     ทิศของที่นอนที่เหมาะสม  ทิศเหนือ  มาที่ทิศห้องนอนแรกของฮวงจุ้ยอย่างทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศนี้ยังเป็นทิศที่เหมาะกับเจ้าของบ้านอย่างมาก เพราะเป็นทิศที่ช่วยส่งเสริมให้ชีวิตของเจ้าบ้านดีขึ้น และที่สำคัญยังช่วยส่งเสริมในเรื่องโชคลาภ หน้าที่การงานเอาใจชาวออฟฟิศ    ทิศตะวันตก  ทิศที่ต้องห้ามสำหรับคนไทย เป็นทิศอัปมงคล โบราณสั่งสอนกันมาว่าถ้านอนเอาหัวไปทางทิศตะวันตก จะทำให้เจ็บป่วย อายุสั้น    ทิศใต้  ทิศใต้เป็นอีกหนึ่งทิศที่เหมาะสำหรับห้องนอน ช่วยเสริมเรื่องเกียรติยศ และชื่อเสียงเพราะในอดีตกาลพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์ได้นอนหันพระเศียรไปทางทิศใต้นั่นเอง จึงเป็นทิศที่สิริมงคลที่สุด   ทิศตะวันออก  หากมีทิศเหนือและทิศใต้ที่ว่าเป็นทิศที่ดีและสิริมงคลที่สุดแล้ว สำหรับทิศตะวันออกนั้นก็ถือได้ว่าเป็นทิศที่ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์อย่างเต็มที่ ทำให้ผู้พักอาศัยนอนหลับสบาย พร้อมรับเช้าวันใหม่ที่สว่างสดใส จึงเหมาะสำหรับเจ้าของห้องที่ต้องการความประสบความสำเร็จ    ตำแหน่งที่ตั้งของที่นอนที่ดี มาต่อกันที่ฮวงจุ้ยห้องนอนที่ควรปรับเปลี่ยนเป็นอย่างที่สอง นอกจากการหันทิศให้ถูกต้อง คือตำแหน่งของที่นอนเพราะต้องเน้นการนอนเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นตำแหน่งวางที่นอนต้องห้าม มีดังนี้    ไม่ควรอยู่ใต้ขื่อ หรือใต้คาน: อาจเกิดปัญหาด้านบริวาร และการเงินติดขัด    ไม่ควรหันไปทางประตู: เพราะเชื่อว่าจะรับพลังลบ ทำให้นอนพักได้ไม่เต็มที่ เหนื่อยง่าย    ไม่ควรอยู่ระหว่างประตู-หน้าต่าง: จะทำให้ถูกดูดพลังงานจากร่างกาย    ไม่ควรหันเข้าหากระจก: เพราะจะสะท้อนและดูดพลังงานจากเราไป    อ่านบทความที่เกี่ยวข้องได้ที่  เริ่มต้นชีวิตดีๆ ที่ลงตัวด้วยการเลือก "ทิศทาง" ของคอนโดแบบไหนให้ตรงกับไลฟ์สไตล์     หวังว่า Trick&Tips การปรับ - เปลี่ยนการจัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ยก็ทำได้ไม่ยาก เพราะมีให้เลือกกันได้หลากหลายทิศ และหลากหลายรูปแบบ ฉะนั้นถ้าใครอยากให้ห้องนอนของเราช่วยเสริมดวงชะตาและช่วยให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น ก็อย่าลืมเปลี่ยนห้องนอนให้เป็นไปตามฮวงจุ้ยเหล่านี้นะ
23
MAY
เปลี่ยน-ปรับ-ทิศนอนเจ้าบ้านให้ถูกหลักฮวงจุ้ย-ทำเองได้-โดยไม่ต้องเสียเงิน
การจัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ยนั้น นอกจากจะดีต่อดวงชะตาผู้อยู่อาศัยแล้ว ยังช่วยลดปัญหาการนอนหลับได้อีกด้วย  วันนี้ Livinginsider เลยขอนำผู้อ่านที่รักทุกท่านเข้าสู่บทความเปลี่ยน-ปรับคอนโดอย่างไรให้ถูกหลักฮวงจุ้ย ทำเองได้ ที่ทางผู้เขียนได้รวบรวมและคัดสรรแบบ Short Brief ผ่านหัวข้อแบบกะทัดรัดมาฝากกัน อยากรู้ว่าห้องนอนของคอนโดควรอยู่ทิศไหนดี ตามหลักฮวงจุ้ยมาฝากกัน     ทิศของที่นอนที่เหมาะสม  ทิศเหนือ  มาที่ทิศห้องนอนแรกของฮวงจุ้ยอย่างทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศนี้ยังเป็นทิศที่เหมาะกับเจ้าของบ้านอย่างมาก เพราะเป็นทิศที่ช่วยส่งเสริมให้ชีวิตของเจ้าบ้านดีขึ้น และที่สำคัญยังช่วยส่งเสริมในเรื่องโชคลาภ หน้าที่การงานเอาใจชาวออฟฟิศ    ทิศตะวันตก  ทิศที่ต้องห้ามสำหรับคนไทย เป็นทิศอัปมงคล โบราณสั่งสอนกันมาว่าถ้านอนเอาหัวไปทางทิศตะวันตก จะทำให้เจ็บป่วย อายุสั้น    ทิศใต้  ทิศใต้เป็นอีกหนึ่งทิศที่เหมาะสำหรับห้องนอน ช่วยเสริมเรื่องเกียรติยศ และชื่อเสียงเพราะในอดีตกาลพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์ได้นอนหันพระเศียรไปทางทิศใต้นั่นเอง จึงเป็นทิศที่สิริมงคลที่สุด   ทิศตะวันออก  หากมีทิศเหนือและทิศใต้ที่ว่าเป็นทิศที่ดีและสิริมงคลที่สุดแล้ว สำหรับทิศตะวันออกนั้นก็ถือได้ว่าเป็นทิศที่ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์อย่างเต็มที่ ทำให้ผู้พักอาศัยนอนหลับสบาย พร้อมรับเช้าวันใหม่ที่สว่างสดใส จึงเหมาะสำหรับเจ้าของห้องที่ต้องการความประสบความสำเร็จ    ตำแหน่งที่ตั้งของที่นอนที่ดี มาต่อกันที่ฮวงจุ้ยห้องนอนที่ควรปรับเปลี่ยนเป็นอย่างที่สอง นอกจากการหันทิศให้ถูกต้อง คือตำแหน่งของที่นอนเพราะต้องเน้นการนอนเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นตำแหน่งวางที่นอนต้องห้าม มีดังนี้    ไม่ควรอยู่ใต้ขื่อ หรือใต้คาน: อาจเกิดปัญหาด้านบริวาร และการเงินติดขัด    ไม่ควรหันไปทางประตู: เพราะเชื่อว่าจะรับพลังลบ ทำให้นอนพักได้ไม่เต็มที่ เหนื่อยง่าย    ไม่ควรอยู่ระหว่างประตู-หน้าต่าง: จะทำให้ถูกดูดพลังงานจากร่างกาย    ไม่ควรหันเข้าหากระจก: เพราะจะสะท้อนและดูดพลังงานจากเราไป    อ่านบทความที่เกี่ยวข้องได้ที่  เริ่มต้นชีวิตดีๆ ที่ลงตัวด้วยการเลือก "ทิศทาง" ของคอนโดแบบไหนให้ตรงกับไลฟ์สไตล์     หวังว่า Trick&Tips การปรับ - เปลี่ยนการจัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ยก็ทำได้ไม่ยาก เพราะมีให้เลือกกันได้หลากหลายทิศ และหลากหลายรูปแบบ ฉะนั้นถ้าใครอยากให้ห้องนอนของเราช่วยเสริมดวงชะตาและช่วยให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น ก็อย่าลืมเปลี่ยนห้องนอนให้เป็นไปตามฮวงจุ้ยเหล่านี้นะ